พนักงานประจำหรือชั่วคราว เลือกให้ตรงใจองค์กรได้ไม่ยาก
เลือกพนักงานที่ใช่ก็เหมือนเลือกคู่ครองที่ชอบ กว่าจะได้พนักงานที่ตรงใจ ต้องผ่านกระบวนการคัดสรรกันนานพอสมควร ไม่ใช่แค่มองหาคนเก่งมาร่วมงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีทัศนคติ และวิธีการทำงานที่เข้ากับองค์กรด้วย ซึ่งปัจจุบันในองค์กรใหญ่ หรือสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ก็เปิดกว้างในการจ้างงานหลายรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมมากก็คือการจ้างงานแบบประจำ และการจ้างงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ หรือชั่วคราวก็มีบุคลากรเก่ง ๆ ไม่แพ้กัน จากผลสำรวจ Laws of Attraction ของ jobsDB ที่สำรวจความคิดเห็นของผู้สมัครงานเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกระหว่างทำงานงานประจำและชั่วคราว ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
- พนักงานประจำ
ลักษณะเด่นของพนักงานประจำคือ เป็นพนักงานที่ถูกจ้างงานจากองค์กรโดยตรงหรือผ่านบริษัทจัดหางาน สามารถทำงานได้จนถึงเกษียณอายุ ถ้าไม่ลาออกเองหรือถูกเลิกจ้างไปเสียก่อน ได้เงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน มีโอกาสที่จะได้ปรับขึ้นเงินเดือนตามอายุงานและเงื่อนไขของแต่ละองค์กร ได้รับสิทธิเข้าถึงสวัสดิการที่กฎหมายกำหนด เช่น ประกันสังคม
1.1 แรงจูงใจในการสมัครงาน
เงินเดือนและค่าตอบแทนคือแรงจูงใจอันดับหนึ่งที่ดึงดูดพนักงานกลุ่มนี้ พวกเขาให้ความสำคัญกับองค์กรที่ให้ ค่าตอบแทนสมกับความสามารถ เช่น เงินเดือน โบนัส และสวัสดิการพิเศษ และยังพิจารณาองค์กรที่ดำเนินธุรกิจมานาน มีผลกำไร ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่ดี ถ้าได้ร่วมงานกับองค์กรจะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ยินดีที่จะร่วมงานกันไปยาวนาน เพราะค่าตอบแทนและชื่อเสียงขององค์กรจะเป็นหลักประกันว่าตำแหน่งงานมีความมั่นคงพอ ซึ่งตรงกับผลสำรวจที่พบว่าพนักงานประจำมองหาความมั่นคงในการทำงานรองลงมาจากเงินเดือน ตามมาด้วยอันดับที่สาม คือความก้าวหน้าในการทำงาน พนักงานคาดหวังว่าเมื่อได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายปีแล้ว โอกาสจะได้เลื่อนตำแหน่งก็มีสูง จึงมีแนวโน้มที่จะทุ่มเททำงานเพราะอยากเติบโต ซึ่งสายงานนิยมจ้างแบบงานประจำ ก็คือ สายงานวิทยาศาสตร์ วิจัย บริหารทรัพยากรมนุษย์ งานบัญชี และงานขาย เป็นต้น
1.2 ความสมดุลในการทำงาน
พนักงานประจำยังให้ความสำคัญกับความสมดุลในการทำงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงาน การได้ทำงานกับผู้บริหารที่มีทัศนคติเชิงบวก ให้การสนับสนุนในการทำงานและสามารถปรึกษาเรื่องอื่น ๆ ได้ ส่วนในเรื่องการทำงาน จากผลสำรวจพบว่า พนักงานประจำไม่ต้องการทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ วันลา และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มากกว่าพนักงานประเภทอื่น พวกเขายินดีที่จะทำงาน 8 ชั่วโมง ใน 5 วัน แต่ถ้าจำเป็นต้องทำงานนอกเหนือจากชั่วโมงงานปกติ ก็คาดหวังได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม อย่างไรก็ตามสังเกตได้ว่าพนักงานประจำจะมีความยืดหยุ่นในการทำงานน้อยกว่าพนักงานชั่วคราว จากกลุ่มสำรวจเห็นได้ว่าพวกเขามีแนวโน้มทำงานตามชั่วโมงเวลาที่ระบุ และอยากทำงานในออฟฟิศเป็นหลักมากกว่าการทำงานนอกสถานที่
1.3 สวัสดิการเพิ่มเติม
นอกจากเงินเดือนและโบนัสประจำปีแล้ว พนักงานประจำคาดหวังสวัสดิการที่พวกเขาควรจะได้รับ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ทันตกรรม และค่าจอดรถ เป็นต้น รวมถึงสวัสดิการเพิ่มเติม เช่น ความคุ้มครองทางการแพทย์ของตัวเองและครอบครัว เช่น ค่าคลอดบุตร และสวัสดิการเมื่อเกษียณอายุ รวมถึงวันลาเพิ่มเติมเพื่อเลี้ยงดูบุตร หรือเพื่อศึกษาต่อ บางองค์กรยังมีรางวัลที่มอบให้พนักงานที่ทำงานกับองค์กรมานาน ซึ่งสวัสดิการเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามโครงสร้างขององค์กร แต่ก็เป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้พนักงานทำงาน ร่วมกันไปอย่างยาวนาน ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เพราะมีสวัสดิการที่คุ้มค่านั่นเอง
- พนักงานชั่วคราว
จากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหลาย ๆ องค์กรต้องปรับโครงสร้าง ลดจำนวนพนักงาน เพื่อประคองธุรกิจ ให้ดำเนินต่อไปได้ ทำให้การจ้างงานแบบชั่วคราวได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นการลดค่าใช้จ่าย แต่บางสายงานก็ได้รับค่าตอบแทนที่สูงมากกว่าพนักงานประจำเสียอีก ในกรณีที่องค์กรต้องการบุคคลากรที่มีความรู้เฉพาะทางเพื่อรับผิดชอบบางโปรเจ็กต์ อย่างไรก็ตามพนักงานชั่วคราวเป็นการจ้างงานระยะสั้นตั้งแต่สามเดือนไปจนถึงหนึ่งปี ส่วนมากจะได้รับเงินเดือนที่ตายตัว ไม่มีการปรับเพิ่ม การจ้างงานลักษณะนี้จะมีการระบุเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน เมื่อครบระยะเวลาแล้วถ้านายจ้างไม่อยากจ้างต่อ หรือพนักงานไม่อยากทำงานต่อก็สามารถยุติสัญญาจ้างได้ทันที
2.1 แรงจูงใจในการสมัครงาน
ถึงแม้จะเป็นพนักงานชั่วคราวที่ทำงานกับองค์กรในระยะเวลาไม่นาน แต่แรงจูงใจอันดับหนึ่งของการทำงานก็คือ ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล เพราะพวกเขาจะได้รับสิทธิด้านสวัสดิการน้อยกว่าพนักงานประจำ จึงคาดหวังว่าค่าตอบแทนที่ได้จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ต้องการ ทั้งนี้พนักงานชั่วคราวก็ยังมองหาความมั่นคงในการทำงานและความก้าวหน้า เมื่อพวกเขาได้ทำงานกับองค์กรที่ใช่ ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ก็หวังว่าจะได้รับการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำเช่นกัน ตำแหน่งงานที่มักเปิดรับพนักงานชั่วคราว เช่น งานบริการลูกค้า ไอที งานประกัน งานโปรดักชัน และสายงานสื่อโฆษณา เป็นต้น นอกจากนี้พวกเขายังมองหาความหลากหลายในการทำงาน อยากร่วมงานกับองค์กรที่เปิดกว้างที่มีการจ้างงานสำหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย
2.2 ความสมดุลในการทำงาน
พนักงานชั่วคราวต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานสูงกว่าพนักงานประจำ มีแนวโน้มสูงที่จะทำงานนอกสถานที่ได้ เช่น work from home หรือทำงานจากที่บ้าน หรือใกล้บ้าน ที่ใช้เวลาเดินทางในการมาทำงานไม่มาก รวมถึงชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่ได้เจาะจงว่าต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์เท่านั้น แต่ก็ต้องการได้รับค่าตอบแทน ถ้าทำงานในวันหยุดหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์เช่นกัน สิ่งสำคัญที่น่าสังเกตก็คือพนักงานชั่วคราวต้องการความเป็นส่วนตัวในการทำงาน และรับผิดชอบงานของตนเองเป็นหลัก พอใจที่จะทำงานในออฟฟิศที่มีสัดส่วนระหว่างพนักงาน มีพาร์ทิชันกั้นระหว่างโต๊ะ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็อยากทำงานในวัฒนธรรมองค์กรที่ให้อิสระพนักงานและเน้นความคิดสร้างสรรค์ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ที่ดี แต่ก็มีความเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย
2.3 สวัสดิการเพิ่มเติม
ข้อแตกต่างระหว่างพนักงานชั่วคราวกับพนักงานประจำก็คือเรื่องของสวัสดิการ การจ้างงานประจำจะมี ข้อกำหนดเรื่องสวัสดิการที่ได้ระบุไว้ชัดเจน แต่สำหรับพนักงานชั่วคราวบางสิทธิอาจไม่ได้รับ อย่างประกันสังคม อาจจะต้องจ่ายเงินสมทบเอง แม้จะเป็นการจ้างงานชั่วคราว แต่พวกเขาก็อยากร่วมงานกับองค์กรที่มอบสวัสดิการให้เพิ่มเติม โดยคาดหวังว่านายจ้างก็ควรดูแลพวกเขาเช่นเดียวกับพนักงานประจำ สิทธิประโยชน์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาทุ่มเทกับองค์กร และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สวัสดิการอื่น ๆ ที่ต้องการก็คือสถานที่ทำงาน มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เช่น ห้องออกกำลังกาย ห้องอาบน้ำ ห้องพักผ่อน และครัวส่วนกลาง เป็นต้น
ปัจจุบันพนักงานมีสิทธิเลือกมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งในด้านของการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อทราบถึงปัจจัยความต้องการของผู้สมัครงานทุกประเภท ผลสำรวจ Laws of Attraction จะสามารถช่วยให้การสรรหาเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ว่าองค์กรของคุณ จะมองหาพนักงานประจำหรือชั่วคราว นอกจากจะช่วยดึงดูดคนที่ใช่แล้ว ยังทำให้พนักงานเก่ง ๆ ไม่หนีไปไหนง่าย ๆ อย่างแน่นอน